1.ไม่รู้จักสินทรัพย์นั้นอย่างลึกซึ้ง
ความเสี่ยงที่เกิดมากที่สุดคือการที่เรารู้จักสิ่งที่เราจะไปลงทุนแบบผิวเผิน จากข่าวหรือข้อมูลเบื้องต้น ไม่ได้ศึกษาถึงความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ขาดทุนหรือเสียต้นทุนทั้งหมดหรือไม่
เช่น ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ เรารู้หรือไม่ว่า Feeder Fund ของกองนั้นเป็นของอะไร ไปลงทุนในอะไร สัดส่วนเท่าไหร่บ้าง, มีการป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ เป็นต้น
เมื่อเราไม่รู้จักสินทรัพย์นั้นดีพอ อาจจะทำให้เราลงทุนในจังหวะที่ผิด ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงขาดทุนสูงเกินกว่าที่เรายอมรับได้
2.มองแต่ผลตอบแทน จนลืมมองความเสี่ยงว่าเรารับได้หรือไม่
ผลตอบแทน 5% หรือ 10% หรือมากกว่านั้น มักจูงใจให้เรานำเงินไปวางไว้ โดยลืมคิดไปว่า ผลตอบแทนที่ได้มา อาจจะไม่คุ้ม ถ้าเราขาดทุนหรือสูญเสียเงินต้นทั้งหมด
เช่น เห็นหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทน 8% เราก็นำเงินไปซื้อ โดยลืมคำนึงไปว่า หุ้นกู้นั้นเครดิตดีหรือไม่ ซึ่งอาจจะทำให้เราสูญเสียเงินต้นจากการผิดนัดชำระหนี้ได้
หรือเช่น เราเห็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนหลายเท่า เราเลยนำเงินส่วนมากไปลงทุน โดยไม่คำนึงว่าหากขาดทุน เท่ากับว่าเราจะสูญเสียเงินต้นจำนวนมาก จนกระทบกับการเงินที่เก็บไว้ใช้เมื่อตอนจำเป็นได้ค่ะ
3.ทุ่มเงินในครั้งเดียว จนเงินไม่พอที่จะสามารถแก้เกมได้
เมื่อเรากลัวเสียโอกาสที่จะได้กำไร เราเลยทุ่มเงินจำนวนมากซื้อในจังหวะนั้น จนลืมคิดไปว่า ถ้าความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด เราจะทำอย่างไร
เพราะฉะนั้น เราควรจัดการเงินทุนของเรา และค่อยๆแบ่งลงทุนตามแผนของเรา เช่น เรามีเงินลงทุน 1แสนบาท เราอาจจะแบ่งเป็น 10 ครั้ง แล้วเราค่อยๆลงทุน หรือแบ่งเงินแล้วค่อยๆ DCA ไปเรื่อยๆ ทุกเดือน เป็นต้น
4.ซื้อในวันที่แพง จนทำให้ต้องยอมขายขาดทุนในวันที่ถูก
จุดเริ่มต้นส่วนมากมักเป็นเหตุผลเดียวกับข้อ 3 คือ เมื่อเรากลัวเสียโอกาสที่จะได้กำไร เราเลยยอมซื้อ ถึงแม้จะรู้ว่าราคาสูงมาก และคิดว่าเดี๋ยวราคาก็ขึ้นต่อ โดยไม่ได้ระวังว่าถ้าซื้อไปแล้ว การลงทุนนั้นกลับผิดพลาด พลิกเป็นขาดทุน เราจะทำอย่างไร
เงินของเรามีค่า เวลาเราลงทุนไปแล้ว อาจจะต้องคิดถึงว่าถ้าเราขาดทุน เราจะทำอย่างไร เรามีเงินพอที่จะแก้เกมได้มั้ย ยอมรับการขาดทุนจากการ Cut lost ได้มั้ย หรือยอมรับการขาดทุนจำนวนมากได้มั้ย ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งค่ะ
5.ไม่ได้กระจายสินทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยง
ถึงแม้ว่าเราจะกระจายความเสี่ยงด้วยการค่อยๆทยอยลงทุนในช่วงเวลาที่ต่างกันแล้ว แต่การลงทุนในที่เดียว อาจจะทำให้เราขาดทุนได้ ในวันที่สินทรัพย์นั้นเป็นขาลง
การกระจายในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน จะช่วยให้พอร์ตโดยรวมของเราอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์
กระจายอย่างไรดี มีตัวอย่างแนะนำอยู่ 2 วิธีค่ะ
5.1 กระจายในสินทรัพย์ต่างประเภท ที่แทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ในพอร์ตมีทอง หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ เป็นต้น
5.2 กระจายในสินทรัพย์ที่สวนทางกัน (Hedging) เช่น
– เมื่อทองหรือ Silver ราคาสูงขึ้น ดอลลาร์มักจะอ่อนค่าลง
– ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ค่าเงินยูโร ค่าเงินบาทสูงขึ้น
– เมื่อราคาพันธบัตรลดลง สินทรัพย์เสี่ยงต่างๆมักสูงขึ้น
6.เชื่อมั่นเครื่องมือ ทฤษฎีการลงทุนหรือเชื่อคนอื่นมากเกินไป
มีเครื่องมือและทฤษฎีมากมายที่ช่วยให้เรานำภาพกราฟในอดีตมาวิเคราะห์อนาคต ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร โดยไม่ได้คำนึงว่า ไม่มีใครรู้อนาคตที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรได้ 100%
เพราะฉะนั้นกราฟและทฤษฎีทั้งหมด เป็นเพียงเครื่องมือบอกความน่าจะเป็นที่อนาคตจะเกิดอย่างไรเท่านั้น ไม่ได้การันตีว่าสิ่งที่เราคิดจะถูกหรือไม่
หรือแม้กระทั่งเชื่อคนอื่นที่บอกว่าการลงทุนแบบนี้ดี ลงในสินทรัพย์อันนี้มีอนาคต ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเราจะไม่ขาดทุนเช่นเดียวกัน เราควรมาศึกษาทำความเข้าใจสินทรัพย์และความเสี่ยงอีกทีค่ะ
สรุปของบทความนี้:
การเข้าใจว่าเราลงทุนอะไร ไม่รีบลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก กระจายการลงทุน หรือลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่เรามีความรู้ มีโอกาสขาดทุนน้อย จะทำให้เงินของเราเติบโตได้อย่างมั่นคงค่ะ
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมและวางแผนการเงินได้ที่นี่ค่ะ
ติดต่อทางไลน์: https://line.me/R/ti/p/@775usduq?from=page&searchId=775usduq
ติดต่อทางแชทเฟสบุค: http://m.me/findoccozycorner
____________________________________________
สามารถสอบถามหมอมิ้ม FinDoc’s Cozy Corner ได้ โดยให้บริการดังนี้ค่ะ
-ลดหย่อนภาษีด้วยประกัน กองทุน ThaiESG SSF RMF
-ประกันสุขภาพ I ประกันสำหรับเด็ก
-ประกันสะสมทรัพย์ I ประกันบำนาญ I ประกันควบการลงทุน (Unit Link)
-กองทุนรวม I หุ้นกู้
-(สำหรับบริษัท) ประกันกลุ่ม I ประกัน Key Man สำหรับผู้บริหารบริษัท
https://www.findoccozycorner.com
____________________________________________
คู่มือเปิดบัญชีกองทุนรวมใน Finnomena ค่ะ
https://findoccozycorner.com/…/07/finnomina-registration/
